200 หลักสูตรการเรียนรวม คือการศึกษาสำหรับทุกคน

OKR ปี 2567

อัพเดทล่าสุด 14/01/68

มีนักเรียนที่จบม.3 แล้วเลือกเรียนต่อ80%
อบรมครูให้สามารถจัดการศึกษาพิเศษได้785คน
ผู้บริหารโรงเรียนผ่านการอบรมเรื่องจัดการศึกษาพิเศษ99%
มีโรงเรียนที่จัดการศึกษาพิเศษ (เรียนร่วม) เพิ่มขึ้น3โรงเรียน

OKR ปี 2568

อัพเดทล่าสุด 27/07/68

อบรมครูให้สามารถจัดการศึกษาพิเศษได้719คน
%ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครที่เปิดการจัดการศึกษาพิเศษ (เรียนร่วม) ผ่านการอบรมครูการศึกษาพิเศษ100%
มีโรงเรียนที่จัดการศึกษาพิเศษ (เรียนร่วม) เพิ่มขึ้น8โรงเรียน

200 หลักสูตรการเรียนรวม คือการศึกษาสำหรับทุกคน

สิ่งที่คนกรุงเทพได้

เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในโรงเรียนสังกัด กทม. จะได้รับการดูแลและสนับสนุนอย่างเหมาะสมจากผู้บริหารและครูผู้สอน ซึ่งสามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือและสนับสนุนพัฒนาการของบุตรหลานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ โรงเรียนยังมีบริการเสริมด้านการเรียนรวม (Inclusive Education) ที่ออกแบบให้เหมาะกับความสามารถและความต้องการเฉพาะของเด็กกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เด็กสามารถเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ ได้อย่างเท่าเทียม มีโอกาสพัฒนาทักษะทั้งด้านวิชาการและสังคม และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา

เริ่มจากปัญหาอะไร

การดูแลและช่วยเหลือเด็กนักเรียนในเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่มักพบอุปสรรคหลายด้าน ทั้งจากฝั่งผู้ปกครอง ครู และระบบสวัสดิการ 1. ความเข้าใจและความร่วมมือจากผู้ปกครอง การให้ความร่วมมือของผู้ปกครองยังมีข้อจำกัด เช่น การติดภาระงานหรือปัญหาทางเศรษฐกิจ หากผู้ปกครองต้องหยุดงานบ่อย ๆ จะทำให้สูญเสียรายได้ จึงอาจไม่สามารถพาเด็กไปพบแพทย์หรือทำตามขั้นตอนทางการแพทย์ได้ทันที 2. ระบบสวัสดิการและขั้นตอนทางการแพทย์ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการวินิจฉัยใช้เวลานานเป็นปี อีกทั้งแพทย์ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะผลกระทบต่อเด็กและผู้ให้คำวินิจฉัย ทำให้ขั้นตอนตั้งแต่การคัดกรองไปจนถึงการพาเด็กไปพบแพทย์มีอุปสรรค 3. ข้อจำกัดด้านข้อมูลและอำนาจหน้าที่ของครู บางข้อมูล เช่น ประวัติการคลอดหรือประวัติการเจ็บป่วย ครูไม่สามารถทราบได้ทั้งหมด หากครูจะพาเด็กไปพบแพทย์ ต้องมีใบมอบอำนาจจากผู้ปกครอง นอกจากนี้ หากครูแนะแนวหรือครูการศึกษาพิเศษต้องพาเด็กไปพบแพทย์ จะมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนครูและหน้าที่สอน ทำให้การดูแลเด็กทั้งหมดพร้อมกันเป็นไปได้ยาก 4. ความเต็มที่ของโรงเรียน แม้โรงเรียนทุกแห่งจะพยายามดำเนินการเต็มที่แล้ว แต่ข้อจำกัดด้านบุคลากร ขั้นตอนทางกฎหมาย และความร่วมมือของผู้ปกครองยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

เพื่อให้เด็กทุกคนในโรงเรียนสังกัด กทม. ได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยเฉพาะเด็กที่มีความต้องการพิเศษ กทม. เริ่มจากการสำรวจปัญหาเด็กกลุ่มนี้ที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือการดูแลที่เหมาะสม เนื่องจากไม่ได้รับการพาไปคัดกรองจากแพทย์ จึงปรับระบบการดูแลเด็กให้สามารถเข้าถึงการสนับสนุนได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอใบรับรองจากแพทย์ และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชในการจัดอบรมครูเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาผู้ปกครอง เพราะการดูแลเด็กพิเศษให้ได้ผล จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างบ้านและโรงเรียน สิ่งที่ดำเนินการไปแล้ว 1. อบรมครูทุกคน ในโรงเรียนสังกัด กทม. ให้มีความรู้พื้นฐานด้านการศึกษาพิเศษ สามารถสังเกตพฤติกรรม ปรับการสอน และดูแลเด็กในชั้นเรียนได้ 2. อบรมผู้บริหารและครูทุกโรงเรียน (437 แห่ง) เพื่อให้เข้าใจนโยบายและสามารถนำไปปรับใช้จริงในโรงเรียน 3. โรงเรียนเรียนร่วม 165 แห่ง รับเด็กพิเศษเรียนร่วมกับนักเรียนทั่วไป 4. ครู 314 คนขึ้นทะเบียนคัดกรองเด็กพิการทางการศึกษา สามารถใช้เครื่องมือคัดกรองได้อย่างถูกต้องและมีจรรยาบรรณ อีก 427 โรงเรียน ผ่านการอบรมตามเกณฑ์ พ.ศ. 2561 เพื่อสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้ 5. อบรมครูวิชาเฉพาะ เช่น ศิลปะ ดนตรี สุขศึกษา และพลศึกษา เพื่อพัฒนาเทคนิคการสอนให้เหมาะกับเด็กแต่ละคนมากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ ห้องเรียนใน กทม. กลายเป็นพื้นที่ที่เด็กทุกคนได้รับโอกาสในการเรียนรู้ แม้ยังไม่มีใบรับรองจากแพทย์ แต่เด็กจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกต่อไป

อุปสรรคที่เจอระหว่างทาง

แม้ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด กทม. จะพยายามจัดการศึกษาที่เหมาะสมให้กับเด็กทุกคน แต่ยังมีเด็กจำนวนมากที่มีความบกพร่องซ่อนเร้นหรือความต้องการพิเศษที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือคัดกรองอย่างเป็นทางการ ปัญหาหลักมาจากผู้ปกครองบางส่วนไม่สามารถพาเด็กไปประเมินทางการแพทย์ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ภาระค่าใช้จ่าย การหยุดงานจะทำให้ขาดรายได้ ความยุ่งยากในการเดินทาง หรือความไม่เข้าใจความสำคัญของการตรวจวินิจฉัย ทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงการดูแลและการเรียนรู้ที่เหมาะสมในระบบการศึกษาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ยังมีข้อจำกัดด้านบุคลากรและทรัพยากร ครูผู้สอนมักมีหน้าที่หลักในการสอนนักเรียนทั้งชั้น การจัดพาเด็กไปพบผู้เชี่ยวชาญหรือคัดกรองเด็กแต่ละคนจึงเป็นเรื่องยาก โรงเรียนบางแห่งมีครูผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ หรือครูที่มีความสามารถในการคัดกรองเด็กพิเศษอาจต้องแบ่งเวลาระหว่างการสอนและการดูแลเด็กกลุ่มนี้

โครงการที่เกี่ยวข้อง

นโยบายอื่นๆ